วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บทความชวนอ่าน - ขอมคือสยาม จามคือเขมร

ขอมคือสยาม เขมรคือจาม

มัสดา:

           กราบสวัสดีทุกท่านครับ กระผมเป็นแฟนประจำของเวปไซต์เรือนไทยมานานปี แอบอ่านกระทู้เงียบๆมานาน เพราะตัวเองศึกษาด้านประวัติศาสตร์มาน้อยมีเพียงแค่ใจรักอย่างเดียว วันนี้ กระผมได้เข้าไปอ่านเจอกระทู้หนึ่งเข้า และเกิดสนใจใคร่รู้ นำมาแลกเปลี่ยนเพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกท่านด้วยครับ ประกอบกับไม่มีตำรับตำราใดใกล้ตัว พอให้ได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้เลย ถ้าใครเข้ามาแสดงความคิดเห็นแล้ว รบกวนช่วยแนะนำชื่อหนังสือที่ใช้อ้างอิงประกอบเพื่อผมจะได้นำไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองด้วยครับ จักขอบพระคุณมากครับ 

http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10161219/K10161219.html

ผมได้เขียนบทความแสดงความเห็น เรื่องความเป็นมาของสยาม ขอม เขมรไว้หลากหลาย
บัด นี้ผมใคร่ขอสรุป สารสำคัญไว้สามประการคือ 1) สยามคือขอมตัวจริง  2) เขมรนั้นไม่ใช่ขอมแต่เป็นผู้ฆ่าขอมตายเรียบต่างหาก และ 3) พระเจ้าอู่ทองเป็นขอมมาจากนครวัด 
ผมไม่ได้กล่าวลอยๆ แต่มีหลักฐาน เหตุผล และตรรกะ สนับสนุนทั้งสิ้น จากนั้นผมเอาจิ๊กซอว์หลายตัวมาต่อกัน จนมันเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งผมขอท้านักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีให้คิดแย้ง (และหากแย้งไม่ได้ก็น่าจะช่วยสนับสนุนแนวคิดผมและช่วยหาหลักฐานเสริมด้วย)

สภาพ ภูมิประวัติศาสตร์ในภาพรวมก่อนนครวัด 3000-200 ปี คือ ดินแดนที่ผมขอเรียกว่า “เส้นพระธรรม” (The dhamma belt)
ได้ต่อแนวกันจากนครปฐม มาลพบุรี  ไปเมืองเสมา (อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา) ไปพิมาย โดยมีติ่งที่ศรีมโหสถ (อ.โคกปีบ จ.ปราจีนบุรี)
แนว เส้นพระธรรมนี้เจริญผ่านยุคสำริดและยุคเหล็กมาอย่างโชกโชน (5000-2000 ปีก่อน พศ. 2500) ดังหลักฐานหลายร้อยหลุมขุดค้นที่พบโดยนักโบราณคดีทั้งไทยและเทศ 
ในช่วง พุทธกาลอารยธรรมเส้นพระธรรมนี้นับถือศาสนาพุทธเป็นหลัก โดยมีฮินดูปนบ้างเล็กน้อย ในช่วงหลังกลายมาเป็นอารยธรรมที่เราเรียกกันว่า “ทวาราวดี”
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ดินแดนรอบๆนครวัดล้าหลังกว่าเส้นพระธรรมมาก มีการขุดค้นพบอารยธรรมยุคเหล็กประปรายเบาบางกว่าเส้นพระธรรมมาก 
นี่ เป็นพื้นฐานที่ชัดเจนว่านครวัดนั้นเกิดจากแพร่ของอารยธรรมจากเส้นพระธรรม เข้าไป โดยเฉพาะจาก ลพบุรี และ พิมาย เมื่อประมาณ คศ. 1000 หรือประมาณ 1000 ปีมาแล้วนี่เอง
ตามหลักวิศวกรรมศาสตร์การแพร่นั้นย่อมแพร่จากที่เข้มข้นสูงไปสู่ที่เข้มข้น ต่ำเสมอ

กษัตริย์ องค์แรกแห่งนครวัดคือ ชัยวรมันที่ ๒ นั้นไม่มีจารึกร่วมสมัยว่าเป็นใครมาจากไหน  พบแต่มีจารึกที่ปราสาทหินสด๊กก๊กธม (อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว)
เมื่อ 200 ปีให้หลังว่ามาจาก “ชวา” (และนักวิชาการไทยก็เชื่อตามกันเป็นตุตะ) แต่มีนักวิชาการฝรั่งที่โดดเด่นเช่น charles higham เห็นแย้งว่าน่ามาจาก จาม หรือ ชามา (ไม่ใช่ชาวา) เสียมากกว่า
แต่กระผม (ขยม) เห็นว่าน่ามาจาก ลาวา หรือ ลวะ หรือ ลพะ หรือ ลพบุรีนี่เอง เสียมากกว่า เพราะมันมีความเป็นไปได้มากกว่ากันถ้ามองในเชิงภูมิประวัติศาสตร์ 
(แต่ การที่ higham เองซึ่งขุดไทยเขมรเสียพรุนไปหมด ยังเชื่อว่าเป็น ชามา ก็คงเพราะว่าเขมรปัจจุบันนี้เป็นเชื้อสายพวกจามนั่นเอง..ซึ่งตรงกับข้อสรุป ของผม)

ชัยวรมันที่ 2 อาจเป็นลูกเจ้าท้าวเธอ คิดกบฏ หรือผิดใจกันอะไรสักอย่าง (เช่นเขาเป็นพุทธแต่ท่านนี้อยากเป็นฮินดู)  เลยถูกเณรเทศออกมาจาก ลว 
ให้มาตั้งเมืองใหม่ที่นี่ โดยให้เป็นเมืองขึ้นของลว  จารึกที่สด๊กก๊กธมเล่าต่อว่า ชย. 2 ได้ไปเชิญพราหมณ์มาจาก จานาปาดา (janapada)
เพื่อมาทำพิธีปัดรังควานให้นครวัดพ้นจากอำนาจของ ลว 
(มัน เป็นไปได้ยากมาก ที่ชวา จะมาสร้างอาณานิคมในแถบนี้เพราะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลปานนั้น การแล่นเรือข้ามทะเลจีนใต้มันไม่ใช่ง่ายๆหรอกนะ คลื่นลมแรงมากเป็นที่รู้กันดีในหมู่ชาวเรือ)

จานาปาดานี้ผม ว่าน่าจะคือ  “ชนบท” (อ่านแบบแขกก็ได้ว่า “ชานาบาทา”) ซึ่งขณะนี้คืออำเภอชนบท จ.ขอนแก่น
ซึ่งเป็นเมืองโบราณเก่าแก่บนเส้นพระธรรมอีกเมืองหนึ่ง นี่แสดงว่า ชย. 2 รู้เรื่องดินแดนในเส้นพระธรรมดีมาก
ขนาดรู้ว่ามีฤาษีอยู่ที่ชนบท แสดงว่า ชย. เองก็มาจากดินแดนเส้นพระธรรมนี่แหละ ไม่ได้มาจาก “ชวา” หรอก

ผม จะชี้ให้เห็นต่อไปว่าลพบุรีนี่แหละคือ พ่อขอม ส่วนนครวัดนั้นเป็นลูกขอม (แต่เป็นอภิชาตบุตร) 
ซึ่งตอนหลังก็กลับมาหาพ่อ มาอยู่กับพ่อตามเดิม อ้าว...แล้วเขมรล่ะ (ผมจะสรุปตอนท้ายว่าเขมรนั้นมาจากพวกจาม เป็นข้าทาสขอม)

ประมาณ คศ 1000  (ขออภัยที่ผมใช้คศ. แทนพศ. เพราะหลักฐานด้านกาลเวลาส่วนใหญ่อ่านมาจากภาษาอังกฤษ)
เหตุการณ์ เริ่มเข้มข้น เมื่อพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ขึ้นครองราชย์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งแห่งนครวัดนี้ ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามาจากที่ไหน
จู่ๆก็เข้ามาเป็นกษัตริย์ แถมยังเป็นชาวพุทธเสียอีก ทั้งที่เขาเป็นฮินดูกันมาก่อนหน้านี้
เชื่อ ได้ว่าพระองค์น่าจะมาจากลพบุรีโดยลพบุรีเอากำลังมาแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ และเป็นพุทธไปเสียเลย (แต่ปชช.ส่วนใหญ่ยังเป็นพราหมณ์อยู่) 
ไม่เช่น นั้นจู่ๆ จะเอากำลัง “ทหารพุทธ” ที่ไหนมา “ยึดอำนาจ” แล้วสถาปนาตนเป็นกษัตริย์พุทธ ยิ่งสมัยก่อนศาสนาคือทุกสิ่งทุกอย่างของสังคมก็ว่าได้

สย. ๑ นี้เชื่อกันว่าเป็นผู้เริ่มสร้างปราสาทพระวิหาร ที่ทำให้เขมรกับไทยบาดหมางกันมาถึงวันนี้ บ้างก็ว่าเป็นผู้เริ่มก่อสร้างปราสาทหินพิมายด้วย (เป็นปราสาทพุทธ)
80 ปีต่อมา สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 มีสลักในแผ่นหินบอกว่าท่านมาจากพิมาย (โคราชเรานี่แหละ)
มีบิดาชื่อ กัมพู สวายามภูวา  ชื่อ สวายาม นี้น่าพิศวงมาก เพราะมันช่างพ้องกับคำว่า สยาม เสียเหลือเกิน 
ผมเห็นว่าชื่อนี้แหละที่เป็นต้นกำเนิดของคำว่า “สยาม”  ส่วนคำว่า กัมพู นั้นก็อาจจะเอามาจากชื่อของลพบุรีก็เป็นได้
เพราะว่าลพบุรีในช่วงนั้นมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า กัมโพช  (ซึ่งก็มาพ้องกับคำว่า กัมพูชา ..คือถูกเขมรสวมรอยเอาชื่อไปใช้ในที่สุด)

นัก วิชาการฝรั่งสันนิษฐานว่า ชว 6 มาจากการยึดอำนาจ ซึ่งผมเห็นด้วย 100% 
และ การยึดอำนาจนี้ต้องเป็นพิมายนั่นแหละที่ส่งทหารเข้ามาช่วยยึดอำนาจ  จากนั้นบรรดาทหารและครอบครัวที่อพยพมาค้ำบัลลังภ์ก็เลยถูกเรียกว่าพวก “สวายาม” 

ชย. 6 นี้ถือว่าเป็นผู้สร้างปราสาทหินพิมายหรือมาสร้างต่อจาก สว. ๑  (ราว คศ. 1100 ก่อนสร้างปราสาทนครวัดสัก 50 ปี) 
รวมทั้งสร้างทางด่วนยาว 200 กว่ากม. เชื่อมพิมายกับนครวัดด้วย  หลักฐานยังมีให้เห็นจนทุกวันนี้
ซึ่งทั้งสองสิ่งก่อสร้างนี้เป็นหลักฐานมัดแน่นว่า ชย. ๖ มาจากพิมาย และผูกพันกับพิมายมากจนต้องสร้างทั้งปราสาทและถนน

คศ. 1115 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้เริ่มสร้างปราสาทนครวัด)
ก็มีจารึกว่าไปจากลพบุรีอีกแล้ว (แต่ครองราชย์ห่างจาก สย. 1 ถึง 70 ปี โดยมีกษัตริย์อื่นๆมาขั้นกลาง รวมทั้ง ชย. ๖ ด้วย) 
ทรงทำสงครามกับพวกจามมากที่สุด และจับเอาพวกจามมาเป็นทาสมาก คงเพื่อเอาแรงงานมาสร้างปราสาทหินนี่เอง 
แต่ตอนหลังพวกทาสนี่แหละที่จะกลายมาเป็นหอกข้างแคร่ และกลายมาเป็นเขมรในที่สุด
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ผู้ยิ่งใหญ่ที่สองรองจาก สย 2) ก็ไม่มีจากรึกให้รู้ว่ามาจากไหนอีกแล้ว รู้แต่ว่ามาจากที่อื่น
แต่ การที่เป็นพุทธเต็มตัวยิ่งกว่า สย ๑ เสียอีก แสดงว่าต้องมาจากดินแดนเส้นพระธรรมแน่นอน  แล้วยังมาใช้ชื่อต่อเป็น ชย. 7 ก็ใช่เลย แสดงว่ามาจากพิมาย

ชย. 7 เป็นผู้มาสร้างปราสาทนครวัดให้เสร็จสมบูรณ์ ก็คงด้วยแรงงานทาสจากพวกจามอีกนั่นแหละ
เพราะไปรบกับพวกนี้มาก แล้วยังสร้างนครธมอีกด้วย และทำให้นครวัดเป็นพุทธไปหมดอย่างถาวรตลอดมาจนวันนี้
อีกทั้งมาบำรุงเส้นทางพิมายนครวัดให้สมบูรณ์ มีอโรคยาศาล (สุขศาลาริมทาง) เต็มไปหมด ยิ่งเป็นหลักฐานว่ามาจากพิมาย

ที่กล่าวมานั้นว่า กันตามลำดับเวลา ล้วนเป็นจิ๊กซอว์ที่ช่วยกันมาต่อภาพเต็มขึ้นเรื่อยๆ
ก็ ขอฝากไว้ให้นักโบราณคดีไทยและนักประวัติศาสตร์ไทยช่วยเอาไปคิดต่อด้วยครับ อย่าเชื่อฝรั่งไปเสียหมด โดยเฉพาะพวกฝรั่งเศสที่มีวาระซ่อนเร้นและใจไม่เป็นกลาง

สรุป ได้ว่าการปกครองนครวัดนั้นเป็นการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างอำนาจจากลพบุรี และ พิมาย  (ซึ่งก็เป็นพี่น้องกันในอาณาจักรทวาราวดี)
โดยลพบุรีมีสายสุริยวรมัน ส่วนพิมายมีสายชัยวรมัน สองสายหลักที่ครองอำนาจนครวัดสลับกัน
ส่วนลพบุรีและพิมายก็เป็นพวก สวายาม กัมพู ด้วยกัน (เพราะลพบุรีนั้นมีชื่อที่รู้จักกันดีอีกชื่อคือ กัมพุช)

ต้อง ไม่ลืมบริบทในอดีตด้วยที่บ้านพี่เมืองน้องสายเลือดเดียวกันนั้นเมื่อเมืองใด ไร้กษัตริย์ปกครองขึ้นมา (แย่งกันจนฆ่ากันตายหมด)
ปชช.มักจะไปขอหน่อเนื้อจากอีกเมืองหนึ่งให้ส่งกษัตริย์มาสืบสันตติวงศ์ต่อ เช่นลำพูนขอพระนางจามเทวีจากลพบุรีเป็นต้น
ดังนั้น สย. ๑-๒ ชย.๖- ๗ ที่ว่ามาจากลพบุรีและพิมายนั้นก็คงมาด้วยเหตุดังกล่าวนั่นเอง
อีกทั้งยังมีหลักฐานว่านครวัดเองก็เคยส่งกษัตริย์มาครองลพบุรี ซึ่งนักประวัติศาสตร์ก็ด่วนสรุปว่าเป็นเพราะชนะสงคราม
ซึ่งผมว่าไม่มีใครเข้ากล้าทำแบบนั้นหรอก เป็นคนละเผ่ามาปกครองก็ถูกฆ่าตายหมด ไม่รอดหรอก
สมัยก่อนรบชนะมีแต่กวาดต้อนปชช. และ ให้ส่งเครื่องราชบรรณาการเสียมากกว่า

จาก นี้ไปจะเสนอกำเนิดเขมร โดยเริ่มที่คศ. 1336 (14 ปีก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยา) ที่ซึ่งกษัตริย์สาย “วรมัน”
ที่ ครองนครวัดมาประมาณ 500 ปีก็มีอันอันตรธานสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย กษัตริย์องค์ต่อมามีนามว่า ตรอสอกเปรแอม (แปลเป็นไทยว่า แตงหวาน)
มีบุตรต่อมานามว่า นิพพานบท (หรือ นิวารณบทก็เรียก)
ผม วิเคราะห์ว่า ตรอซอกเปรแอมนี้ยึดอำนาจมาจาก “วรมัน” แต่เนื่องจากตนไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อพันธุ์เดียวกับพวกวรมัน แต่เป็นเชื้อชาติอื่น
ก็เลยยกเลิกธรรมเนียมการตั้งชื่อเป็นวรมันไปเสียเลย

บริบท มัดแน่นว่าตระซอกฯนี้เป็นพวกข้าทาสจามชาวจามที่ถูกจับมาเป็นเชลย เป็นทาสรับใช้ในการสร้างปราสาท
จนมีจำนวนมากกว่าพวกนายทาสที่เป็นพวกวรมันเสียอีก อยู่มาวันหนึ่งพวกนายทาสอ่อนกำลังลง
ก็เลยยึดอำนาจ ฆ่าพวกนายทาสตายเรียบ แล้วตั้งชื่อเมืองนี้ใหม่ว่าเมือง “สยำเรียบ”
เพราะพวกนายทาสนี้เป็นพวก “สยำ” นั่นเอง  ซึ่งคำว่าสยำนี้ตอนหลังเพี้ยนมาเป็นเสยียมแล้วเป็น “เสียมเรียบ” ในที่สุด
(สำเนียงเขมร สระอาของเรามักเป็นสระเอียของเขา เช่น นางนาค ก็เป็นเนียงเนียก พระวิหาร ก็เป็นเพรียะวิเหียร์  สยามก็เป็นเสยียม) 

การ วิเคราะห์ของผมไปตรงกับพงศาวดารเขมร ฉบับ “นักองค์เอง” เข้าอย่างจัง (นักองค์เองนี้มาพึ่งพระบารมี ร ๑ ของเรา จากนั้นส่งไปครองเขมร)
ซึ่งพงศาวดารนี้เป็นฉบับแรกของเขมร (ที่ยังไม่มีอิทธิพลฝรั่งเศสเข้ามาเสี้ยมสอน) 
พงศาวดารนี้บันทึกว่าต้นตระกูลเขมรมาจาก ตรอซอกเปรแอม (พระเจ้าแตงหวาน) และ นิวารณบท นี่เอง

ซึ่งในขณะนั้นนักองค์เองคงภูมิใจมากในตระ ซอกฯ ที่ปลดแอกเขมรออกจากการเป็นทาสได้ 
เพราะถ้าเขมรเป็นทายาทของขอมวรมันแห่งนครวัดจริง มีหรือที่นักองค์เองจะพลาดไม่ยอมพาดพิงไปถึง
(อย่างน้อยก็ต้องถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นอย่างต่ำ จะหาว่าไม่รู้ก็ไม่ได้เพราะมีสลักจารึกบอกไว้หมด) 
...แต่ด้วยความภูมิใจในเลือดเขมรที่ปลดแอกจากความเป็นทาสของพวก “สวายาม” ได้
ก็เลยระบุไปแบบพาซื่อและตามจริงว่าพวกตนเป็นหน่อเนื้อของ ตรอซอกเปรแอม ทาสเชื้อสายจามนี่เอง

แม้รูปลักษณ์ของชาวเขมรในทุกวันนี้ก็ ยังมีร่องรอยของ “แขกจาม” ให้เห็น คือ ผิวคล้ำ ผมหยิก จมูกรั้น เป็นส่วนใหญ่ 
จนกระทั่งฝรั่งเศสเข้ามาก็มายกความเป็นขอมให้เขมรไปเพื่อผลประโยชน์ในการ ล่าอาณานิคมนั่นแล

หลัก ฐานสำคัญที่สุดที่ระบุว่าเขมรไม่ใช่ ขอมคือ เขมรปัจจุบันนี้ใช้เลขฐาน ๕ พอหกเจ็ดก็ขึ้นเป็น ๕๑ ๕๒ ส่วนขอมโบราณนั้นเขานับ   ..๕ ๖ ๗ เหมือนลพบุรีเลย 
หลักฐานง่ายๆ ใต้จมูก ที่นักประวัติศาสตร์มองไม่เห็นนี้ มันหลอกกันไม่ได้ บิดเบือนไม่ได้  มันตีแสกหน้าบอกเราเลยว่าเขมรไม่ใช่ขอม
แต่เขมรคือพวกที่มาฆ่าขอมตายเรียบต่างหาก จนเรียกเมืองนครวัดว่าเมือง เสียมเรียบ นั่นเอง

การนับเลขเขมรนั้นน่าสนใจมาก เพราะ พอถึง ๕๓ ๕๔ แล้ว แทนที่จะเป็น ๖๐ กลับเป็น สิบ  ยี่สิบ สามสิบ จนถึงร้อย
ล้วนเป็นภาษา”ไทย”หมดเลย แสดงว่าเขมรลอกการนับเลขไปจากไทย แต่ถ้าเขมรคือขอมก็น่าจะเก่งเลขมากกว่านี้
มัสดา:

โจ้วต้ากวน (ทูตการค้าชาวจีน) ที่เข้ามาอยู่นครวัด ๒ ปีในสมัยช่วงปลายยุควรมัน ได้บันทึกไว้ (ถือเป็นบันทึกที่ทรงคุณค่ามาก)
นคร วัดเต็มไปด้วยทาส พวกคนชั้นสูงแต่ละคนมีทาสกันเป็นร้อยคน ซึ่งน่าคะเนได้ว่าทาสพวกนี้ส่วนใหญ่น่าจะมาจากเชลยศึกในการสงครามกับพวกจาม นั่นเอง
(ขอมกับจามทำสงครามกันหนักมาก และยาวนานมากนับสามร้อยปีเห็นจะได้ 
แต่ไม่ปรากฎว่าทำสงครามกับ ลพบุรีและพิมายเลย  แสดงว่าเป็นพี่น้องกันแน่นแฟ้นโดยสายเลือดนั่นเอง 

หลักฐาน สำคัญที่สุดคือ ในช่วง คศ. 1177-1181 ขอมแพ้จาม นครวัดถูกจามยึดครองอยู่ถึง 4 ปี ดังนั้นนครวัดหมดอำนาจลง
ถ้าลพบุรีและพิมายเป็นเมืองขึ้นนครวัดดังที่เชื่อกันเป็นตุตะก็คงจะดีใจกัน เนื้อเต้น
แต่กลับกลายเป็นว่า ลพบุรีและพิมายผนึกกำลังกันส่งกองทัพไปตีเอานครวัดคืนจากพวกจาม แล้วตั้งชัยวรมันที่ 7 ขึ้นเป็นกษัตริย์
ซึ่งกลายมาเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรขอมไปเลย จะว่าชัยวรมันที่ 7  “สั่ง” ให้ลพบุรีและพิมายมาช่วยก็เป็นไปไม่ได้
เพราะสูญสิ้นอำนาจหมดแล้ว เมืองขึ้นที่ไหนใครเขาจะมาเชื่อฟังกระทั่งยอมตายส่งกองทัพมาช่วย
มีแต่เขาจะซ้ำเติมเสียด้วยซ้ำไปแหละไม่ว่า ด้วยเหตุนี้ชัยวรมันที่ 7 จึงให้สลักภาพกองทัพ สยำกุก และ กองทัพลพบุรี ไว้ที่กำแพงนครวัด
(จนคำว่าสยำกุก ยังเป็นคำที่นักวิชาการตีความกันอยู่จนบัดนี้)


ผม เลยวิเคราะห์ต่อว่า เมื่อเกิดความเสื่อมในคนชั้นปกครอง (แย่งอำนาจกัน และ ไร้สมรรถนะ)
พวกทาสที่มีจำนวนมากกว่านายทาสก็เลยรวมหัวกันยึดอำนาจเสียเลย แล้วสถาปนา ตระซอกประแอม ขึ้นเป็นกษัตริย์ จนเป็นต้นตระกูลเขมรนั่นแล

พงศาวดาร ฉบับนักองค์เองบันทึกว่า ตระซอกฯเป็นคนปลูกแตงให้กษัตริย์ แตงของเขาหวานมาก จนกษัตริย์อยากเสวย
เลย ลงมาเก็บแตงยามดึก ตระซอกฯนึกว่าเป็นโจรมาขโมย ก็เลยเอาหอกแทงตาย แล้วสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์  แถมเอาพระธิดากษัตริย์มาเป็นเมียเสียอีก

กล่าวฝ่ายชาวเสียม เมื่อ คศ. 1336  ปีที่ถูกพวกตรอซอกเปรแอม ฆ่าไม่หมดเรียบเสียทีเดียว
จะหนีไปไหนดี ก็หนีไปซบอกพ่อ พ่อขอม ที่ลพบุรี นั่นแล
(นคร วัดช่วงนั้นมีพลเมืองประมาณ ๑ ล้าน อาจเป็นพวกเสียมเสีย 5 แสนห้า พวกทาสจามเสีย 5 แสนก็เป็นได้ ถูกฆ่าตายเสีย 2 แสน ก็เหลือรอดไป 3 แสน)

ผม เสนอประวัติศาสตร์หน้าใหม่ว่า หัวหน้าใหญ่ชาวขอม (เสียม)
ที่พากันอพยพหนีตายจากนครวัดเมื่อ คศ. 1336 คราวนั้นก็คือ พระเจ้าอู่ทอง นี่เอง ที่พากันหนีตายมาตั้งเมืองใหม่ที่อยุธยานี่แหละ

ทฤษฎี เดิมที่กรมพระยาดำรงฯว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรีนั้นบัดนี้ก็ว่าไม่ใช่แล้ว
เพราะเมืองอู่ทองนั้นเป็นเมืองร้างมาก่อนหน้านี้สองร้อยปีแล้ว (จากหลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดี) 
บ้างก็ว่ามาจากเชียงแสน เป็นลูกขุนบรม บ้างก็ว่ามาจากสุโขทัยบุตรพระราเมศวร
บ้างก็ว่าเป็นสุลต่านมุสลิมมาจากกลันตันมาลายู (ที่พระศพยังฝังอยู่ที่กลันตันจนวันนี้) 
บ้างก็ว่าเป็นพ่อค้าชาวจีนมาจากเพชรบุรี (พงศาวดารฉบับวันวลิต พ่อค้าชาวฮอลันดา)

พระเจ้าอู่ทองนำคนประมาณ 3 แสนมาสร้างเมืองใหม่ที่อโยธยา (อยุธยา)
ถามว่า..เอาคนจำนวนมหาศาลมาจากไหน?  อู่ทอง สุโขทัย เชียงแสน เพชรบุรี กลันตัน ในสมัยโน้นประชากรรวมกันจะได้ถึงสามแสนไหมหนอ
(ในขณะที่นครวัดมีหนึ่งล้าน ใหญ่กว่าปารีส ลอนดอน แม้จะถูกฆ่าไปสักสองแสนก็ยังมีสามแสนรอดตาย)
แล้วถ้ามีเมืองดังว่าจริงทำไมต้องอพยพมาตั้งเมืองใหม่ด้วย การอพยพย้ายเมืองขนาด 3 แสนคน
มัน ไม่ได้ง่ายๆเพียงแค่ตามที่ทฤษฎีหนีโรคระบาดว่าไว้หรอกนะ เพราะเมืองใหญ่อื่นๆในโลกนี้ก็ถูกโรคระบาดเล่นงานก็ไม่เห็นมีใครเขาย้าย เมืองหนี
เพราะมันไม่คุ้มกันหรอก อย่างมากก็แค่อพยพออกไปชั่วคราว พอโรคหายแล้วก็กลับเข้ามาใหม่ 
กรุงเทพฯในสมัยร.๒ ก็โดนหนัก  มีประชากรสองสองแสนกระมัง ก็ไม่เห็นย้ายหนีไปไหน

แล้วจู่ๆ แถวนี้เขาใช้ระบบการปกครองแบบธรรมราชาทั้งนั้น แล้วพระเจ้าอู่ทองเอาระบบ “เทวราชา” มาจากไหน ?
โดยสถาปนาพระองค์เองเป็น พระรามที่ ๑ (อวตารของพระกฤษณะ)  ครองกรุงอโยธยา ตามคติฮินดูนครวัดเป๊ะเลย
เสีย แต่ว่าไม่ยอมใช้วรมันเท่านั้นเอง (คำว่า วรมันนี้ จริงๆก็มีใช้ในชื่อกษัตริย์แถบเส้นพระธรรม เช่นที่อู่ทอง มาก่อนหน้าที่ใช้ในนครวัดเสียอีก
เชื่อกันว่าเป็นอิทธิพลจากกษัติรย์ ปัลลวะในอินเดียตอนใต้ แต่ตอนหลังถูกศาสนาพุทธครอง ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นธรรมราชากันหมด เลิกระบบวรมันไป )

ส่วนที่เมืองเขมร ตรงกันข้ามเลย เคยเป็นเทวราชามา 500 ปี จู่ๆในปี คศ. 1336 ก็ยกเลิก
หันมาเป็น ระบบอะไรก็ไม่รู้ (ระบบเขมร) ชื่อกษัตริย์ก็ไม่เป็นสันสกต กลายเป็นภาษาพื้นบ้านไปเลย คือ ตระซอกประแอม (แตงหวาน)
นิพพานบท และ ลำพงราชา (องค์ที่สามนี้เริ่มมีแขกเข้ามาหน่อยแล้ว) 
นี่ก็เป็นอีกหลักฐานสำคัญว่าพวกทาสเข้ามาเป็นกษัตริย์ก็เลยไม่กล้าอ้างตัว ว่าเป็น เทวะ (เทพ) เพราะมันตรงข้ามกันเลย

สำหรับราชาศัพท์ ไทยเราที่มีคำพ้องกับภาษา “เขมร” มากนั้น  (เช่น เสวย เขนย) ก็ “ใช่เลย” 
ยิ่ง เป็นหลักฐานมัดว่าขอมคือสยาม เพราะพระเจ้าอู่ทองทรงเป็นขอม จะให้พูดภาษาอะไรอื่นเล่า? (สุโขทัยยังใช้ว่าพ่อกู ขุนศรี แม่กูนางเสืองอยู่เลย ไม่มีราชาศัพท์) 
ก็ทรงเป็นเทวกษัตริย์ขอมมาจาก นครวัด ก็ต้องใช้ภาษาขอมนี้แหละ จะให้ใช้ภาษาอะไรเล่า  ดังนั้นราชาศัพท์นี้ไม่ใช่ “อิทธิพลขอม” ดังที่เชื่อกันมานาน แต่เป็น “ขอมทั้งดุ้น” ต่างหาก

ส่วน พวกเขมรเป็นทาสขอมมานานหลายร้อยปี ก็ซึมซับรับเอาภาษาขอมไปใช้ด้วย
โดยก็มีการปนกับภาษาสยำมากทีเดียว (แต่เราไม่เคยคิด คิดแต่แบบปมด้อยว่าภาษาเราลอกเขมรมา) 
เช่น นางนาค ก็เรียกว่า เนียงเนียก เป็นต้น พระวิหาร ก็เป็น เปรียวิเหียร์ ดังกล่าวแล้ว ยังการนับเลข (ที่เลยสิบขึ้นไป)

ดังนั้นราชาศัพท์ไทยเราเป็นภาษาขอม แต่ไม่ใช่ภาษาเขมรอย่างแน่นอน พึงเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกเถิดคนไทยเอ๋ย

ลพบุรี และอยุธยานั้นมีคนพูดไทยปนกับคนพูดขอมอยู่แล้วก่อนแต่พระเจ้าอู่ทองจะย้ายมา
ภาย หลังตั้งอยุธยาคนพูดไทย มอญ ลาว ก็อพยพเข้ามามากขึ้น จนเพิ่มขึ้นเป็นล้านคนในที่สุด (เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกพอๆกับ ลอนดอน และปารีส) จ
นคนพูดภาษาไทยกลายมาเป็นใหญ่แล้วกลืนภาษาขอมเดิมเสียเกือบสิ้น
ยกเว้นราชาศัพท์ ที่ยังเป็นภาษาขอมเป็นส่วนใหญ่ตามประเพณีเดิมแต่สมัยพระเจ้าอู่ทอง
เลยถือเอาเป็นอุบายในการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ของระบบเทวราชาไปเสียเลย (เป็นเทพก็ต้องใช้ภาษาเทพสิ จึงจะดูลึกลับ น่ายำเกรง)

การ อพยพเข้ามาของคนพูดไทยนั้นไม่ยาก เพราะได้ข่าวว่ามีผู้มีบุญญาบารมีเข้ามาสร้างเมืองใหญ่โต
อีกทั้งมีทองที่ขนมาจากนครวัดมาก ทำมาหากินก็ง่าย มีบารมีพระองค์ปกป้อง ไม่ต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นข้าทาสของเจ้าเมืองอื่นๆ
ก็เลยหลั่งไหลกันเข้ามายังกะน้ำท่วมใหญ่ นั่นแล จากสุพรรณ สุโขทัย ชัยภูมิ พนัสนิคม ฯลฯ
(ที่ น่าสนใจคือ ทำไมสร้างอยุธยา แบบไม่เหลือร่องรอยสถาปัตยกรรมนครวัดเอาเสียเลย...เรื่องนี้สนุก โปรดติดตามตอนต่อไป และที่น่าสนใจต่อไปคือ เมือง อู่ทองมีชัย ในเขมรสร้างแบบอยุธยายังกะแกะ)

คำว่า “เขมร” เล่ามาจากไหน ยิ่งยากกว่าคำว่า “สยาม” เสียอีก ผมเชื่อว่ามาจากชาวสยำที่หนีตายมาจากนครวัดนี่เอง
คือพวกเขาเรียกพวกทาสนี้ว่า “ข้าเหม็น” เพราะเป็นข้าทาส ทำงานทั้งวันจนตัวเหม็น ก็เลยเรียกแบบดูถูกเหยียดหยามว่า ข้าเหม็น
โดยเฉพาะพี่น้องถูกพวกนี้ฆ่าตายเรียบก็ยิ่งแค้นใจ ก็เลยยิ่งตั้งชื่อในเชิงเกลียดชังให้มก 
จากนั้นก็เพี้ยนมาเขียนให้เป็น เขมร  ให้ดูเป็นภาษาแขก ที่ว่ามานี้ใช้ว่าจะเหยียดหยามเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
แต่ว่ากันตามความเป็นไปได้โดยบริสุทธิ์ใจ ในอนาคตชาวเสียมเราอาจตกเป็น( ^o^ )ชาวเขมรบ้างก็ได้
ถ้า ไม่รู้จักฉลาดเสียที เอาแต่เชื่อข้อมูลประวัติศาสตร์ตามฝรั่งกันตะพึดตะพือ ส่วนคนไทยเราด้วยกันเสนออะไรก็ไม่เชื่อ หาว่ามั่ว คลั่งชาติ 
(คำว่า เขมรนี้ นายจอร์จ เซเดย์ ..นักวิชาการจอมกะล่อนชาวฝรั่งเศส มีความเห็นว่ามาจากคำว่า กัมพู + เมรา = กัมรา = เขมรา  โดยนางเมรานี้เป็นพระมารดาของ ชย. 6)

หันมาดูปีคศ.ก็ตรงกัน คือ ตรอซอกเปรแอม ฆ่าเสียมวรมันตายเรียบเมื่อ คศ. 1336
พระ เจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรียอุยธยาเสร็จเมื่อ 1350 14 ปีหลังจากถูกไล่ฆ่า ก็เหมาะสมที่ใช้เวลา 14 ปีในการสร้างเมืองใหม่ จากนั้น คศ. 1352 ทรงยกทัพไปตีนครวัด

ถามว่าเพิ่งสร้างเมืองเสร็จใหม่ ๆ กำลังพลตรากตรำอ่อนล้ามานาน  น่าจะพักผ่อนและเฉลิมฉลองเสียมากกว่า อีกทั้งกองทหารก็ไม่ได้ฝึกปรืออาวุธ
ไม่มีเวลาซ้อมรบ (เอาไปสร้างเมืองหมด)  จะไปรบกับใครเขาได้ โดยเฉพาะนครวัดที่เป็นมหาอำนาจใหญ่ 
แต่ถ้าคิดในเชิงจิตวิทยา การไปรบแบบนี้ไปด้วยใจเป็นหลัก คือ การไปล้างแค้นนั่นเอง เพราะทนรอมา 16 ปีแล้ว
แก่มากแล้วเดี๋ยวจะสวรรคตเสียก่อนได้ล้างแค้นพวกเขมร ที่มายึดนครวัดไปแล้วฆ่าพวกเสียมเสียเรียบ

พอยกทัพไปพวก “ข้าเหม็น” นครวัดก็หนีไปตั้งหลักที่เมืองหนึ่งทางตอนใต้ของนครวัด  รบกันจนพระเจ้าอู่ทองชนะ
ก็เลยเปลี่ยนชื่อเมืองนั้นเป็น “อู่ทองมีชัย” เพื่อเอาเคล็ดที่พวกเขาเรียกเมืองนครวัดว่า “เสียม (ตาย) เรียบ” 
อีกทั้งยังให้สร้างเจดีย์แบบอยุธยาไว้เต็มเมือง เมืองนี้ต่อมาได้กลายเป็นเมืองหลวงของเขมรยาวนานกว่า 200 ปี
(ต่อจากเมืองละแวกที่สมเด็จพระนเรศวรไปตัดหัวเจ้าเมือง) จนขณะนี้เขมรได้ขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว
เมืองมีลักษณะคล้ายอยุธยามาก นักวิชาการไทยมักเรียกให้เพี้ยนว่า อุดงมีไชย
เพื่อ ช่วยให้เขมรมีศักดิ์ศรีว่าไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของไทย ส่วน เสียมเรียบ นั้นนักวิชาการไทยไม่เคยเรียกว่า เสียมราฐ เลย ..เข้าข้างเขมรทุกอย่าง 
(คำ ว่าอุดงนี้เขมรบางส่วนพยามเลี่ยงว่ามาจากภาษาสันสกฤตแปลว่า  สุดยอด ...อ้าวแล้ว สุดยอดมีชัย เนี่ย มันฟังขึ้นมากเลยนะ ส่วนนักวิชาการฝรั่งส่วนใหญ่ยอมรับว่า คือเมืองที่ตั้งตามพระนาม อู่ทอง ปฐมกษัตริย์แห่งอยุธยา บางคนก็อ้างว่าพระเจ้าอู่ทองมาสร้างให้เมื่อหนีภัยจากโรคระบาด อ้าว..ถ้างั้นทำไมต้องมีชัยด้วย หรือว่ามีชัยจากโรคห่า)

หลัก ฐานเสริมคือ บันทึกของบาดหลวงปอร์ตุเกสที่ไปพบซากนครวัดหลังจากถูกปล่อยทิ้งร้างสัก 200 ปี 
ใน หนังสือ  “Civilization of Angkor”  Charles Higham นักโบราณคดีชื่อก้อง ได้เขียนความตอนหนึ่ง เกี่ยวกับการสำรวจนครวัดของชาวปอร์ตุเกศในปี คศ. 1601
(ประมาณสมัยกลางของอยุธยา ซึ่งขณะนั้นนครวัดเป็นเมืองร้าง เต็มไปด้วยป่าปกคลุม)  สรุปสาระสำคัญได้ว่า

1)       นักสำรวจปอร์ตุเกสเหล่านั้นเชื่อว่า กษัตริย์ผู้สร้างสยาม (ศรีอยุธยา) มาจากนครวัด (ซึ่งตรงกับที่ผม..ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า พระเจ้าอู่ทองมาจากนครวัด)

2)       คนพื้นเมือง (ซึ่งคงยังมีหลงเหลืออยู่บ้างรอบป่านครวัด) ให้การว่านครวัดนี้สร้างโดย “คนต่างชาติ”

อย่า ดูถูกว่าสองเรื่องนี้เป็นเพียงฟุตโน้ตทางประวัติศาสตร์ เพราะเรื่องเล็กๆที่ไม่ปรุงแต่งนี้แหละที่อาจสำคัญกว่าเรื่องใหญ่ๆที่ปรุง แต่ง (โดยฝรั่งเศส) เสียอีก  ผมขอสาธยายสองประเด็นดังนี้

1) การที่นักสำรวจชาวปอร์ตุเกสเชื่อเช่นนั้นคงเป็นเพราะว่า ได้ยินมาจากกษัตริย์สยามนั่นเองที่ประกาศให้รู้ทั่วกันว่า ต้นปฐมกษัตริย์ไทย (พระเจ้าอู่ทอง)
มาจาก “เมืองใหญ่เมืองนี้”   (The great city)  เพราะจู่ๆ จะให้พวกเขามาคิดจินตนาการเอาเองทำนองนี้คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากศิลปะที่นครวัด ต่างจากที่ศรีอยุธยามาก

2) การที่คนพื้นเมือง บอกว่า “คนต่างชาติ” สร้างนครวัดนี้ คงหมายถึง “คนสยาม” นั่นเอง เพราะ คศ. 1600 นับว่าเป็นเพียง 150 ปีหลังจากที่นครวัดถูกปล่อยทิ้งร้าง
คนพื้นเมืองที่หลงเหลืออยู่ริมๆ ป่าคงยังไม่ลืมหรอกว่าใครสร้างนครวัด เพราะก็เพียงแค่สองชั่วอายุคนเท่านั้นเอง คงยังพอจำกันได้จากปากของพ่อสู่ลูก 
และคนพื้นเมืองนี้ก็คงเป็นคนจาม (เขมรปัจจุบันนั่นเอง) เนื่องเพราะพวกสยามตายเรียบหมดแล้ว ถ้าเป็นบรรพชนของคนพื้นเมืองสร้าง คนพื้นเมืองคงภูมิใจและคงไม่บอกหรอกว่า “สร้างโดยคนต่างชาติ”


นิทานปรัมปรานั้นบ่อยครั้งแน่นอนยิ่ง กว่าบันทึกประวัติศาสตร์เสียอีก เพราะบันทึกประวัติศาสตร์นั้นบันทึกตามบริบทของผู้ชนะเสมอ
จึง มีการบิดเบือนได้มาก ..ปรากฎว่านิทานต้นกำเนิดชาติเขมรนั้นช่างตรงกับนิทานของพวกจามยังกะแกะ คือ ต้นตระกูลมาจากนางนาค (เนียงเนียก) ชื่อโสมา สมสู่กับฤาษีตนหนึ่ง
นี่ก็เสริมว่าเขมรคือพวกจามที่ถูกขอมจับมาเป็นทาส แล้วพกพาเอานิทานต้นกำเนิดเผ่าพันธุ์นี้ติดตัวมาด้วย

พี่ชาย ของผมเชื่อในสิ่งที่ผมเสนอนี้เป็นตุตะตามผมไปด้วย  จึงได้ไปค้นอักขระพ่อขุนรามว่าต่างจากอักขระอยุธยามาก
เพราะสุโขทัยเขียนบรรทัดเดียว ส่วนอุยธยาเขียนสามบรรทัด เหมือนภาษาขอมโบราณ แสดงว่าเสียมอยุธยามาจากขอมนครวัด
ไม่ ได้มาจากสุโขทัยเป็นแน่ ส่วนเขมรก็แน่ละ แค่นับเลขยังนับได้แค่ห้าแล้วจะมาสร้างอักษรอะไรได้ ดังนั้นอักษรเขมรก็ก๊อบมาจากขอมเช่นกัน
กลายเป็นว่าเขมรลอกสยำ ไม่ใช่สยำลอกเขมรดังที่เข้าใจกันตลอดมา

เมื่อ ปราสาทหินพิมาย และ ปราสาทพระวิหาร สร้างก่อนนครวัด ดังนั้นนครวัดก็เลยได้เปรียบด้วยการมีแบบอย่างทั้งด้านวิศวกรรมศาสตร์และ ศิลปศาสตร์
ลองคิดดู จู่ๆจะสร้างนครวัดโดยไม่มีฐานด้านเทคโนโลยีมาก่อนได้หรือ จะตัดจะยกหินก้อนมหึมาได้อย่างไร
จะ แกะสลักได้อย่างไร มันต้องหัดเดินริมทางเส้นพระธรรมแถวพิมายเสียก่อนจึงจะมาวิ่งที่นครวัดได้ วิศวกรก็คนสยำ ศิลปินแกะสลักก็คนสยำทั้งสิ้น
ไม่เช่นนั้นนางอัปสรจะมีการแต่งกาย เครื่องประดับหัวที่เหมือนกันได้หรือ

สุด ท้าย คำว่า สยำกุก มาจากไหน  (สยำกุก คือชื่อกองทหารที่แกะไว้ที่ริมกำแพงนครวัด เชื่อว่าแกะในสมัยชัวรมัน 7)
แต่ละคนก็ตีความกันไป  จิตร ภูมิศักดิ์ ไปไกลกว่าเพื่อน ตีความไปว่าเป็นกองทหารสยามที่มาจากลุ่มแม่น้ำกกไปโน่น 
ส่วน ผมตีว่า เป็นกองทหารจาก พิมาย คำว่า สยำ น่าจะเพี้ยนเพราะกาลเวลา มาจากคำว่า สวายาม  (เชื้อเถาเหล่ากอของบิดาของ ชย. 6 ที่มาจากพิมายนั่นเอง) 
คำว่า กุก นั้นเป็นคำโบราณไม่ทราบว่าแปลว่าอะไร แต่ขอบอกใบ้ว่ามีวัดๆ หนึ่ง ริมถนนเข้าสู่อยุธยาจากเส้นทางวงแหวนรอบนอก ชื่อว่าวัด “สีกุก” น่าจะลองไปสืบดูว่า กุก นี้คืออะไร ชะรอยอาจเป็นพวก สยำกุก เสียมกุก มาสร้างไว้แต่เมื่อหนีตายมาจากนครวัดก็เป็นได้

ขอมกับสยาม เป็นเชื้อสายเดียวกันมานาน ที่ขยำคลุกกันมาด้วยการอพยพย้ายถิ่น สงคราม และหนีสงคราม
บัดนี้ขอมไม่ได้หายสาปสูญไปไหน แต่หลอมรวมกลับมาเป็นเชื้อเหล่าเผ่าไทยเรานี่เอง

แต่ ฝรั่งเศส ในยุคล่าอาณานิคม ได้ยกความเป็นขอมไปให้เขมรเสียฉิบ เพื่อประโยชน์ต่อการล่าอาณานิคม เสริมด้วยการทูตแบบเรือปืน (gunboat diplomacy) ส่วนเราได้แต่ทำตาปริบๆ
...เสริมด้วยความอ่อนแอ ของนักวิชาการมหาวิทยาลัยไทย ที่เสียแรงเสียภาษีส่งไปร่ำเรียนกันมาจนเป็นดร.กันเต็มประเทศ
กลับดันไปช่วยเสริมทฤษฎีต่างชาติ เหยียดหยามคนไทยด้วยกันเสียอีก เช่นส่วนใหญ่ลงคะแนนกันว่า เขมรคือขอม และสยำเป็นทาสขอม 
ถ้าจะมีใครมาคิดปลดแอกทางวิชาการจากฝรั่งอย่างขยม ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกคลั่งชาติทันที

พงศาวดาร เขมร ฉบับหลังๆ เช่น ฉบับออกญานง นั้นได้รับการเสี้ยมสอนจากฝรั่งเศสแล้ว ก็เลยโยงไปถึงว่า ข้าเหม็นเป็นเทือกเถาเหล่ากอ วรมัน เป็นเจ้าของนครวัด เรื่อยมาจนวันนี้

ถึงเวลาเราต้องชำระประวัติศาสตร์ส่วนนี้กัน เสียที...โปรดช่วยกันส่งต่อไปยังเครือข่ายเฟสบุคของท่านให้มากที่สุด เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญมาก
แม้ไม่เห็นด้วยกับผมก็ยิ่งต้องช่วยกันส่งต่อ เพื่อให้เข้ามาวิจารณ์กันด้วยเหตุผลให้มากๆ ให้ผมแพ้หมดฟอร์มหน้าแตกไปเลยไงล่ะครับ 
(ขอ ร้องว่าอย่าด่า กันเล่นเอามันแบบหยาบคายด้วยภาษาแบบ “ทาสๆ” เลยนะครับ ..มันจะไม่เป็นมงคลกับคนด่าน่ะ ระวังเกิดชาติหน้าจะเป็นทาสเขานะ ... ถ้าจะด่าขอให้ด่าด้วยเหตุผล เอาเหตุผล หลักฐานมาว่ากัน)


-----------------ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๑๑ มค. ๒๕๕๔...ตัวเลขขอมนะเนี่ย)

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 กรกฎาคม 2554 เวลา 14:12

    โอโห...อ่านบทความนี้แล้ว ภูมิใจ ที่คนไทยเรา มีเชื้อสายขอมปนอยู่ด้วย
    และที่สุดคือ ขอม ไม่ใช่เขมร....เขมรคือ ข้าเหม็น หรึอ พวกจาม...โอยค่อยโล่งใจ

    แทนทิตา ค่ะ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ20 กรกฎาคม 2554 เวลา 17:44

    ผมคัดลอกบทความนี้มาเพราะดูน่าสนใจดีน่ะครับ แต่การพิสูจน์หลักฐานทางโบราณคดีก็ยังคงต้องทำต่อไปครับ แน่นอนที่สุดเราไม่อาจทราบตวามจริงทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็ใกล้ความจริงบ้างล่ะครับ

    ขอบคุณนะครับที่เข้ามาอ่าน

    Phuritath Rajmongkolprarop

    ตอบลบ