วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กำเนิดกรุงกัมพูชา...อ่านแล้วฮาตรึม!!!


กำเนิดกรุงกัมพูชา...อ่านแล้วฮาตรึม!!!
...ไปอ่านเจอในหนังสือของคุณ โรม บุนนาค ซึ่งท่านมักจะเขียนเรื่องเก่าๆเอามาเล่าในสไตล์สนุกๆให้ได้อ่านกัน ผมอ่านถึงกับขำก๊ากว่า เออ..นี่มันเรื่องจริงหรือล้อเล่น แต่ว่าคุณโรมก็ยืนยันหลักฐานที่มาที่ไปหนักแน่นว่ามีอยู่จริงใน ราชพงศาวดารกัมพูชา คือในราชพงศาวดารกัมพูชาฉบับแปลเป็นภาษาไทยนี้นั้น ได้รับการแปลมาจาก พันตรีหลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์) ซึ่งผู้แปลนามสกุลคุ้นๆนี้นั้นท่านเป็นบิดาของ ท่านผู้นำ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และดั้งเดิมท่านเป็นคนพระตะบอง ซึ่งขณะนั้นยังขึ้นกับประเทศไทย ท่านจึงถือว่าเป็นคนไทย ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาเขมรนี้มาก ท่านจึงไปแปล ราชพงศาวดารกัมพูชา ฉบับภาษาเขมร ซึ่งท่านศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดย์ ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีตะวันออกชาวฝรั่งเศส เป็นผู้นำเข้ามาจากกรุงฮานอย เห็นไหมว่ามันมีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่ใช่เลื่อนลอย...


...ทีนี้ลองมาดูข้อความใน ราชพงศาวดารกัมพูชา ฉบับแปลเป็นไทยแล้ว ที่ว่าอ่านแล้วฮาตรึมคืออะไร คือ ราชพงศาวดารกัมพูชา ฉบับนี้นั้นมีอยู่ 3 ตอน ตอนที่ 1 เป็นเรื่องตำนานการสร้างนครวัด นครธม ซึ่งระบุชื่อผู้แต่งว่าเป็น นักองค์นพรัตน์หริรักษ์ราชภูบดี ราชบุตรของสมเด็จพระนโรดม และเรื่องฮาตรึมก็เป็นเรื่องตอนที่ต่อจากนี้แหละครับ เพราะเป็นตอน พุทธทำนาย กล่าวถึง กำเนิดกรุงกัมพูชา ...


...ในตอน พุทธทำนาย ราชพงศาวดารกัมพูชา กล่าวอ้างถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมากับพระอานนท์สองพระองค์ มาถึงเกาะใหญ่แห่งหนึ่ง ในชมพูทวีป กลางเกาะนั้นมีต้นหมันใหญ่ ที่ลำต้นมีโพรงพญานาค แต่ที่พื้นโคนต้นนั้นราบเรียบ พระองค์กับพระอานนท์ก็พากันมาประทับที่ใต้โคนต้นหมันนั้น ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าต้นหมันนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร แต่สังเกตเอาว่าในตำนานต่างๆเมื่อจะกล่าวถึงความยิ่งใหญ่หรือว่าเป็นเรื่องบุญบารมีอะไรก็แล้วแต่ ก็มักจะมีต้นหมันนี้มาเป็นส่วนประกอบอยู่เสมอ แล้วราชพงศาวดารก็กล่าวต่อไปนะครับว่า เวลายามหนึ่งก็มีนาคขึ้นมาเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วพระองค์ก็แสดงธรรม เวลายามสองก็มีเทวดามาเข้าเฝ้า แล้วพระองค์ก็แสดงธรรม จวบจนยามสามก็มีนาคและเทวดาบางตนสำเร็จมรรคผลไปได้...


...และเมื่อถึงเช้าพระพุทธองค์ก็ทรงเหาะขึ้นไปบิณฑบาต ยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อได้อาหารกลับมาก็มานั่งฉันกันสององค์กับพระอานนนท์ และเหตุฮาตรึมก็เกิดขึ้นตอนนี้แหละครับ ปรากฏว่าขณะนั้นมีสัตว์ตระกูลตะกวดหรือเหี้ยนี่แหละ ได้โผล่ขึ้นมาจากโพรงเก่าที่พญานาคเคยอยู่ พระพุทธองค์ก็เลยทรงปั้นข้าวแล้วก็โยนให้ตะกวดหรือเหี้ยนั้นกิน เมื่อมันกินเอร็ดอร่อยแล้วก็เลยแลบลิ้นขึ้นมาเลียริมฝีปาก พระพุทธองค์ก็เลยทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์ซึ่งท่านช่างถามอยู่แล้วก็กราบทูลถามทันที ว่าพระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์เพราะเหตุอันใด และก็เป็นตอนที่พระพุทธเจ้าทรงตอบเป็น พุทธทำนาย ขึ้นว่า...


..."ดูกร อานนท์เอ๋ย จำเดิมตั้งแต่นี้ต่อไปภายหน้า เกาะโคกหมันนี้แผ่นดินจะงอกขึ้นอีกกว้างใหญ่ แล้วจะเกิดเป็นนครหนึ่ง ซึ่งสัตว์ตะกวดมีจิตเลื่อมใสศรัทธามากราบถวายบังคมต่อองค์ตถาคต โดยอำนาจกุศลที่โสตประสาท ได้ยินศัพท์สำเนียงพระสัทธรรมเทศนาแห่งตถาคต ในเมื่อแสดงให้พระยานาคและฝูงเทวาได้สดับตรับฟังนั้น เมื่อสัตว์ตะกวดนี้สิ้นชีพแล้ว จะได้บังเกิดบนสวรรค์ แล้วได้จุติลงมาเป็นกษัตริย์องค์หนึ่ง ครองกรุงอินทปรัตนคร และพระราชบุตรของกษัตริย์องค์นั้นจะได้เสด็จมาที่ตรงนี้ จึงพระยานาคที่ได้มาฟังพระธรรมเทศนานี้เอง จะได้มาสร้างพระนครเป็นราชธานีใหญ่ ให้แก่พระราชบุตรของกษัตริย์องค์นั้นประทับ แล้วขนานนามพระนครว่า กรุงกัมพูชาธิบดี ส่วนนานาประเทศจะเรียกเขมระภาษา ลุกาลต่อไปภายหน้า พระอินทราธิราชจะได้มาสร้างปราสาทถวาย แล้วเรียกนามเมืองว่า อินทปรัตนคร เป็นสองชื่อ และบรรดามนุษยชาติในราชธานีนี้ จะพูดจาสิ่งใดๆไม่ค่อยยั่งยืนอยู่ในสัตยานุสัตย์ โดยบุรพกษัตริย์ผู้ตั้งต้นแผ่นดิน มีชาติกำเนิดเกิดจากสัตว์ตะกวด อันมีลิ้นแฝดแตกแยกออกเป็นสองซีก...


...อ่านแล้วฮาตรึมไหมครับท่านผู้ชม เมื่อราชพงศาวดารเขมร บันทึกพุทธทำนายเอาไว้เองว่า พระยานาคจะมาสร้างเมือง ให้กษัตริย์จากตระกูลตะกวดปกครอง แล้วพระอินทร์ก็จะมาสร้างปราสาทถวาย ทำให้เมืองนี้มีสองชื่อตลอดไป ชื่อเมืองชื่อหนึ่งชื่อคนชื่อหนึ่ง และที่พิเศษสุดก็คือคนในเมืองนี้ จะมีนิสัยที่เหมือนกับลิ้นสองแฉกของบรรพบุรุษ คือพูดกลับไปกลับมาเอาแน่นอนอะไรไม่ได้...!!!


...เพราะฉะนั้นก็อย่าไปสงสัยอยู่เลยว่า ทำไมคนประเทศเพื่อนบ้านของเรานี้ถึงได้กลับกลอกหลอกลิ้น กลิ้งไปกลิ้งมาอย่างนี้ ก็เพราะที่มาที่ไปของเขาเป็นอย่างนี้นี่เอง จงอโหสิให้เขาแล้วก็ช่วยกันปั้นก้อนข้าวกลมๆโยนให้เขากินเถิด...!!!
*************
ขอขอบพระคุณ คุณ เป๊ปซี่ และ โอเคเนชั่น ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลในการเผยแพร่เพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น